การระงับข้อพิพาทในคดีอาญาโดยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (ศึกษาเฉพาะความผิดที่มีผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา)
วิทยานิพนธ์ปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 2547 ของณภัทร กตเวทีเสถียร เรื่อง “การระงับข้อพิพาทในคดีอาญาโดยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (ศึกษาเฉพาะความผิดที่มีผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา)” ได้กล่าวถึงประเทศไทย ว่าได้ประสบปัญหาด้านระบบยุติธรรมทางอาญา กล่าวคือ มีปริมาณคดีเข้าสู่ระบบยุติธรรมตามปกติหรือกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักมากเกินไป ส่งผลให้มีปริมาณผู้กระทำความผิดต้องเข้าไปรับโทษในเรือนจำเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่ปริมาณของเรือนจำจะรับได้ ทำให้เรือนจำซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำต้องส่งผู้กระทำความผิดที่ยังได้รับการแก้ไขไม่ดีพอกลับคืนเข้าสู่สังคมอีกครั้ง โดยสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมีหลายประการด้วยกัน คือ การที่สังคมไทยยังไม่มีการคิดเชิงระบบโครงสร้าง การขาดนโยบายทางอาญาทำให้แต่ละองค์กรต่างทำงานแยกส่วนจากกัน ไม่มีการประสานงานร่วมกัน ทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ การที่รัฐขาดมาตรการกลั่นกรองคดีให้เข้าสู่ระบบน้อยที่สุด หรือให้ออกจากระบบเร็วที่สุด เช่น การชะลอการฟ้องหรือการระงับข้อพิพาท เป็นต้น
จากการศึกษาพบว่า ในคดีบางประเภท เช่น คดีที่มีโทษเล็กน้อย หรือคดีที่กระทำความผิดโดยประมาท เป็นคดีที่ไม่เหมาะสมแก่การใช้โทษจำคุกในการลงโทษผู้กระทำความผิดเนื่องจากการลงโทษจำคุกในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถแก้ไขผู้กระทำความผิดได้กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดได้เรียนรู้ทักษะการประกอบอาชญากรรมมากขึ้น และต้องได้รับมลทินติดตัวยากแก่การกลับคืนสู่สังคม ดังนั้นคดีดังกล่าวนี้จึงควรมีมาตรการเพื่อกันคดีออกจากระบบโดยรวดเร็ว และมีวิธีการจัดการกับผู้กระทำผิดความด้วยวิธีอื่น ซึ่งวิธีที่เหมาะสมกับความผิดประเภทนี้ ได้แก่ระงับข้อพิพาททางอาญา ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นความยุติธรรมชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ แนวคิดนี้มองว่าปัญหาอาชญากรรมไม่ใช่เป็นการกระทบต่อรัฐดังเช่นแต่ก่อน แต่ปัญหาอาชญากรรมเป็นการกระทบต่อบุคคลได้รับผลกระทบนั้นโดยตรง อันได้แก่ ผู้กระทำความผิด ผู้เสียหาย และชุมชน ดังนั้นจึงควรให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำความผิดได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนั้น ผลดีของการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้นั้นเป็นประโยชน์แก่ 3 ฝ่ายคือ
1.ผู้กระทำความผิด ได้สำนึกผิด มีโอกาสชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายและไม่ต้องรับโทษจำคุก
2.ผู้เสียหายได้รับการให้ความสำคัญไม่ถูกละเลยและได้รับการชดใช้ความเสียหาย
3.ชุมชนได้มีโอกาสแก้ไขผู้กระทำความผิดและป้องกันไม่ให้กระทำความผิดซ้ำ นำมาซึ่งความสงบสุข
วิทยานิพนธ์ของณภัทร กตเวทีเสถียร ได้กล่าวถึงการระงับข้อพิพาทในคดีอาญาโดยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (ศึกษาเฉพาะความผิดที่มีผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา) ไว้ดังนี้
กระบวนยุติธรรมทางเลือกที่ถูกนำมาใช้
วิทยานิพนธ์ของ ณภัทร กตเวทีเสถียร ได้กล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมและมีลักษณะพิเศษคือ
1.เป็นกระบวนการที่ไม่เป็นทางการ โดยจัดให้ผู้กระทำความผิด ผู้เสียหาย และชุมชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และแต่ละฝ่ายต่างมีหน้าที่
1)ผู้กระทำความผิดต้องรู้สึกผิด และรับผิดชอบในการกระทำของตน ตลอดจนบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น
2)ผู้เสียหายต้องประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น
3)ชุมชนมีหน้าที่ประสานรอยร้าว และปรับปรุงผู้กระทำความผิดให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อีก
2.ผลของการดำเนินการก่อให้เกิดการระงับข้อพิพาทอันนำมาซึ่งความสมานฉันท์พอใจแก่ทุกฝ่าย
วิธีระงับข้อพิพาทในกระบวนการยุติธรรมทางเลือก
วิทยานิพนธ์ของณภัทร กตเวทีเสถียร ได้กล่าวถึงวิธีระงับข้อพิพาทในกระบวนการยุติธรรมทางเลือก คือการนำไปใช้ปฏิบัติจึงมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา บริบททางสังคม จากการศึกษาพบว่า หลายๆ ประเทศได้นำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไปใช้ด้วยวิธีระงับข้อพิพาทคดีอาญา ดังต่อไปนี้คือ
1.การไกล่เกลี่ยระหว่างผู้กระทำความผิดและผู้เสียหาย (Victim – Offender Mediation)
2.การประชุมกลุ่มครอบครัว (Family Group Conferencing)
3.การล้อมวงพิจารณา (Sentencing Circle)
4.การชดใช้เยียวยา หรือการบริการชุมชน (Restitution And Community)
2.2.2.3กรณีการนำกระบวนยุติธรรมทางเลือกมาใช้กับประเทศไทย
วิทยานิพนธ์ของ ณภัทร กตเวทีเสถียร ได้กล่าวกระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยนั้นยังมีข้อจำกัดในเรื่องกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คือ มีระบบการฟ้องคดีเป็นระบบผสม การฟ้องคดีอาญาแผ่นดินโดยรัฐ และการฟ้องความผิดต่อส่วนตัวโดยเอกชน การฟ้องคดีอาญาแผ่นดินโดยอัยการซึ่งอาศัยหลักดุลพินิจ พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งคดีได้อิสระ และสามารถสั่งไม่ฟ้องคดีได้แม้ผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำความผิด โดยพิจารณาจากประโยชน์สาธารณะ และผลร้ายจากการฟ้องคดีหากเห็นว่าไม่เกิดผลดีแก่ผู้กระทำความผิดก็จะสั่งไม่ฟ้อง การดำเนินคดีโดยรัฐของเจ้าหน้าที่เป็นการดำเนินการตามที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้จะดำเนินการนอกเหนือจากที่กฎหมายให้อำนาจไว้ไม่ได้ ดังนั้นการที่จะนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในระบบยุติธรรมไทยจึงต้องนำมาใช้ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสิ่งที่เป็นอยู่จึงจะสามารถกระทำได้ ดังกรณีต่อไปนี้คือ
1.ใช้ประกอบดุลพินิจของพนักงานอัยการในการสั่งคดี ด้วยระบบการฟ้องคดีของไทยเป็นการฟ้องตามดุลพินิจ พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีได้อย่างกว้างขวาง การนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในขั้นตอนนี้ จึงเป็นการดำเนินการเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและให้ทราบถึงความต้องการของบุคคลผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อนำข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ประกอบดุลพินิจในการสั่งคดีของอัยการ
2.การถอนคำร้องทุกข์ , การถอนฟ้อง , หรือการยอมความในความผิดอันยอมความได้ ซึ่งโดยปกติเป็นกรณีที่ผู้เสียหายสามารถดำเนินการได้เองก่อนคดีถึงที่สุด กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมขั้นตอนการระงับข้อพิพาทให้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้ เนื่องจากการถอนคำร้องทุกข์ , การถอนฟ้อง หรือการยอมความส่วนใหญ่จะเป็นไปเพียงเพื่อยุติคดีเท่านั้น แต่หากนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ย่อมเกิดประโยชน์แก่ทั้งผู้กระทำความผิดที่ไม่ต้องรับโทษ ผู้เสียหายได้รับการชดใช้เยียวยา ตลอดจนชุมชนได้มีส่วนร่วมในการปกป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ และทำให้สังคมเกิดความสงบสุข
3.การนำกระบวนการคุมประพฤติมาใช้เพื่อประกอบดุลพินิจของศาลในการรอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษ โดยปกติเมื่อจำเลยรับสารภาพศาลอาจทำการพิพากษาลงโทษจำเลย , หรือรอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษจำเลยได้ทันที หากคดีนั้นมีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป แต่ทางปฏิบัติส่วนใหญ่เมื่อจำเลยรับสารภาพ และปรากฏต่อศาลว่าไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือเคยได้รับโทษจำคุกในคดีที่ได้กระทำโดยประมาท ศาลมักจะสั่งให้พนักงานคุมประพฤติทำการสืบเสาะและพินิจประวัติและภูมิหลังของจำเลย แล้วรายงานต่อศาล กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สามารถนำมาใช้ได้โดยผ่านการดำเนินการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติ หากมีการชดใช้ค่าเสียหาย หรือบรรเทาผลร้ายกันได้ ก็จะเสนอไว้ในรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วรายงานต่อศาลเพื่อนำไปประกอบดุลพินิจในการทำคำพิพากษาวิทยานิพนธ์ของณภัทร กตเวทีเสถียร ได้ให้ความเห็นว่าในกรณีของประเทศไทยนั้นสามารถนำการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ระงับข้อพิพาทในคดีอาญาได้ แต่ลักษณะของการดำเนินการจะมีความแตกต่างกัน โดยพิจารณาได้จากประเภทความผิด กล่าวคือ หากนำมาใช้ในความผิดอาญาแผ่นดิน จะเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้ผลมาประกอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น การสั่งคดีของพนักงานอัยการ หรือใช้ประกอบดุลพินิจของศาลในการกำหนดคำพิพากษา นอกจากนี้ในการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ประกอบดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ยังคงต้องจำกัดประเภทของความผิด คือต้องเป็นความผิดอาญาต่อบุคคล ต่อทรัพย์ หรือต่อการอยู่ร่วมกันของบุคคลที่มีคุณธรรมทางกฎหมายคุ้มครองความผิดส่วนตัว และทรัพย์ของบุคคลที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ส่วนความผิดอันยอมความได้นั้น สามารถนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้เพื่อให้คดียุติลงด้วยความรวดเร็วได้ โดยจะนำมาใช้เพื่อเสริมให้มีการถอนคำร้องทุกข์ การถอนฟ้อง หรือการยอมความ อันเป็นผลให้มีการระงับข้อพิพาทกันมากขึ้น และยังก่อให้ให้เกิดการอำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สามารถลดปริมาณคดีที่เข้าสู่ระบบได้
วิทยานิพนธ์ของณภัทร กตเวทีเสถียร เสนอแนะ ว่าการที่จะนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมไทย สามารถกระทำได้โดยนำมาใช้ประกอบดุลพินิจของอัยการในการสั่งคดี และประกอบดุลพินิจของผู้พิพากษาในการกำหนดโทษของผู้กระทำความผิด แต่การให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและผลของการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นั้น จำเป็นต้องมีกฎหมายให้อำนาจในการดำเนินการมิฉะนั้นย่อมไม่สามารถกระทำได้ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินการดังนี้
1.ให้มีการออกกฎหมาย ที่มีรายละเอียดในเรื่องผู้มีอำนาจดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ , บทบาทและหน้าที่ของผู้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ตลอดจนออกกฎหมายให้ยอมรับผลของการดำเนินการโดยคณะกรรมการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เพื่อการปฏิบัติงานจะได้ไม่ขัดต่อกฎหมายที่บัญญัติอยู่ก่อนแล้ว โดยจะออกเป็นพระราชบัญญัติขึ้นใหม่โดยเฉพาะ หรือแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
2.ส่งเสริมและสนับสนุนให้เห็นถึงข้อดี และประโยชน์ของการระงับข้อพิพาทโดยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์